ผลบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบ ลิเวอร์พูล – พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2018/19

ศึกแดงเดือดแรกของโอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ผู้ที่ได้ปลุกวิญญาณของทีมปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด กลับมาอีกครั้งหลังจากที่ได้พ่ายแพ้ให้กับทีมหงส์แดง ลิเวอร์พูล เมื่อครั้งก่อน 3-1 นั้น (จากการคุมทีมของ มูริญโญ่)
เกมส์นี้จบลงด้วยสกอร์เสมอกันไป 0-0 แม้ว่าทีมแมนฯยูไนเต็ดจะเสียเปรียบในเรื่องตัวผู้เล่นคนสำคัญที่เจ็บในครึ่งแรกจนต้องใช้โควต้าเปลี่ยนตัวครบทั้ง 3 คน และมาร์คัส แรชฟอร์ดที่แสดงอาการบาดเจ็บเป็นคนแรก ก็ยังต้องลงเล่นจนครบ 90 นาที ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพในการล่าตาข่ายลดหายไปกว่าครึ่งนึงเลยทีเดียว
ตลอดทั้งเกมส์แม้ว่าจะเป็นหงส์แดงที่ครองบอลได้มากกว่า แต่ไม่สามารถเจาะเข้าทำประตูแมนฯยูไนเต็ดได้เลย สังเกตุได้จากที่ดาวิด เดเกอา ไม่ต้องเซฟลูกยากๆเลยแม้แต่ครั้งเดียว และเกมส์รับของแมนฯยูไนเต็ดวันนี้ทำงานกันได้อย่างรัดกุม จนตัวรุกอย่าง ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ และ ซาดิโอ มาเน่ ไม่สามารถทำอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน
กลับกลายเป็นทีมปีศาจแดง ที่ได้แผลงฤทธิ์ในการเข้าทำจากลูกตั้งเตะหลายครั้งและมีลุ้นทุกครั้ง เพียงแต่กรรมการเป่าเป็นลูกล้ำหน้าทั้งหมด รวมถึงลูกที่ได้ฟรีคิกจากฝั่งซ้าย ลุค ชอว์ เปิดเข้าเขตโทษมาฝั่งขวา คริส สมอลลิ่ง สอดไปแปเข้ากลาง มาติป แหย่เท้าเพื่อสกัดแต่บอลดันพุ่งเข้าประตูตัวเองไป
เสียงเฮกระหึ่มดังลั่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ต้องเงียบกริบหลังจากนั้นไม่ถึง 10 วินาทีเพราะโดนจับล้ำหน้าเหมือนเดิมจากตอนที่ สมอลลิ่ง แล่บตัวเองเข้าไปในเขตโทษ และรวมถึงท้ายเกมส์ที่ถ้า คริส สมอลลิ่ง มีสัญชาตญาณกองหน้าสักหน่อย คงได้เห็นประตูปิดฝาโลงให้ทีมหงส์แดงไปแล้ว แค่ยื่นเท้าแหย่ลูกที่พุ่งผ่านหน้าประตูมาจากการเปิดของลูกากูเท่านั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ทำได้เต็มที่แล้วในการหยุดยั้ง ลิเวอร์พูล สู่ตำแหน่งแชมป์ จากนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า “เรือใบสีฟ้า” แมนฯซิตี้ จะสร้างปาฏิหาริย์ให้ตัวเองได้หรือไม่ เราต้องมาติดตามกันต่อไปในแมทย์ที่เหลือ
https://www.youtube.com/watch?v=mPNSON9hDcc
ติดตาม The Thaiger บน Google News: