ข่าวข่าวภูมิภาค

เรื่องกินเรื่องใหญ่ ! เพียงแค่เคี้ยว โลกก็เลี้ยวไปอีกทาง

หากพูดถึงจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษยชาติ ร้อยทั้งร้อยมักนึกถึงมหาสงครามชิงดินแดน การค้นพบทางวิทยาศาสตร์อันช่วยอำนวยประโยชน์ต่อมนุษย์มหาศาล ทว่ามนุษย์คงไม่สามารถมีสมองอันปราดเปรื่องได้ขนาดนี้หากปราศจากสารอาหารที่เราได้รับจากการ “กินอาหาร” และการวิวัฒนาการสุดมหัศจรรย์จนเกิดสมองทรงภูมิปัญญา เกิดขึ้นจากเรื่อง่าย ๆ อย่างการกินเนื้อ

ศาสตราจารย์แดเนียล ลิเบอร์แมน และดร. แคเธอรีน ซิงค์ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เผยแพร่ผลการวิจัยในวารสาร “เนเจอร์” ว่า ‘การกินเนื้อช่วยให้มนุษย์มีวิวัฒนาการจนใบหน้าเล็กลง’ หน้าเล็กเรียวไม่ใช่เพียงแค่นิยามความงามตามสมัยนิยม แต่ประโยชน์สำคัญคือทำให้สมองมีขนาดใหญ่ขึ้น

ภาพ : independent.co.uk

งานวิจัยชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่า การกินเนื้อ (เมื่อ 2 ล้านปีก่อน) ส่งผลให้ส่วนใบหน้าของมนุษย์มีวิวัฒนาการเล็กลง เปิดพื้นที่ให้สมองของมนุษย์มีขนาดใหญ่ขึ้น และความใหญ่ของสมองก็แปรผันกับความฉลาด มนุษย์ในยุคต่อมาจึงมีการเรียนรู้ และสร้างระบบการสื่อสาร ก่อเกิดเป็นกลุ่มสังคม อารยธรรมอันสลับซับซ้อน สมองที่ใหญ่เอื้อให้มนุษย์เราพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง ทิ้งสายพันธุ์ร่วมบรรพบุรุษอื่นๆไว้เบื้องหลัง

ภาพ : BBC.com

นอกจากนี้ยังกล่าวได้ว่า ความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมแรกเริ่ม จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าขาดอาหาร ซึ่งก็คือการดำรงชีวิตแบบเกษตรกรรม เมื่อเกษตรกรผลิตอาหารได้เกินความต้องการของครอบครัวและสัตว์เลี้ยง บรรดาช่างปั้นหม้อ ช่างทอผ้า นักบวช และเจ้าหน้าก็มีเวลาทำกิจกรรมอื่นนอกเหนือจากเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง สามารถทุ่มเทให้กับการงานเฉพาะทางของพวกตนได้โดยไม่อดอยาก

“ดนตรีแสนไพเราะ บทละครซึ้งกินใจคงไม่เกิดขึ้น หากกวีไม่อิ่มท้อง”

ในอารยธรรมเมโสโปเตเมียและอียิปต์ สิ่งที่ตามมาจากการมีจำนวนส่วนเกินของผลผลิตทางอาหารคือ การเกิดตัวอักษร ชาวสุเมเรียนในแถบอารยธรรมเมโสโปเตเมียมีการบันทึกอักษรภาพบนแผ่นดินเหนียวเพื่อบันทึกจำนวนผลผลิตทางการเกษตรเอาไว้เป็นหลักฐานไม่ให้สูญหาย นำไปสู่การพัฒนาเป็นอักษรลิ่มในเวลาต่อมา ซึ่งความสำคัญของการมีตัวอักษรถือเป็นการเริ่มต้นยุคประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกเล่าเรื่องราวตกทอดมาถึงคนรุ่นปัจจุบัน

ภาพ : smarthistory.org

เมื่อเวลาผ่านไป อารยธรรมของมนุษย์ได้ก่อร่างสร้างตัวจนเจริญขึ้น เกิดเป็นชุมชนกระจายตัวอยู่แทบทุกส่วนของโลก การค้าคือกิจกรรมสำคัญของมนุษย์ เป็นโครงข่ายยึดโยงคนในแต่ละส่วนของโลกเข้าด้วยกัน โลกสมัยโบราณเส้นทางการค้าขายทางไกลที่มีความสำคัญที่สุด ครอบคลุมสามทวีป คือ เอเชีย แอฟริกา และยุโรป ถูกเรียกขานนามอย่างโด่งดังว่า “เส้นทางสายไหม”

อาหารไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่ถูกขนถ่ายแลกเปลี่ยนไปตามเส้นทางสายไหม แต่ยังรวมถึงสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ภาษา ประเพณีทางสังคม ความรู้เรื่องไวน์และการทำไวน์จึงเดินทางจากตะวันออกใกล้ไปยันจีนในศตวรรษที่1 และความรู้เรื่องก๋วยเตี๋ยวก็เดินทางย้อนกลับมาจากยุโรปกับเอเชีย

“เพราะมีเส้นก๋วยเตี๋ยว และพ่อค้า จึงมีเส้นสปาเกตตีในอีกซีกโลก”

ภาพ : presstv.com

ตัดกลับมายุคปัจจุบัน อาหารมีความน่าสนใจในฐานะ บทบาทสำคัญในการกำหนดปากท้องคนทั้งโลก ที่ปัจจุบัน ตามรายงานของสหประชาชาติ กล่าวว่า ถึงต้นปี 2557 พบว่าโลกมีประชากรทั้งสิ้น 7.2 พันล้านคน และเมื่อคำนวณจากวิถีชีวิตปัจจุบัน ประมาณการณ์ว่าประชากรโลกคาดว่าจะถึง 8.1 พันล้านคน ในปี 2568 และ 9.6 พันล้านคน ในปี 2593

ลองนึกภาพโลกที่ประชากรเกือบหมื่นล้าน แต่ทรัพยากรอาหารมีอยู่อย่างจำกัด สภาพอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงยิ่งทำให้เราผลิตอาหารได้น้อยลง

จากรายงานขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ได้ให้ข้อมูลว่า ขณะนี้มีประชากรโลกอยู่ในภาวะขาดแคลนอาหาร ประมาณ 1,000 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นประชากรวัยเด็กประมาณ 300 ล้านคน และประชากรโลกที่อยู่ในภาวะขาดแคลนอาหาร จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 5 ล้านคน ที่เข้านอนโดยไม่มีอาหารตกถึงท้อง

ภาพ : mimorelia.com

เพื่อกระเสือกกระสนหนีจากภาวะอดอยาก มนุษย์จึงพยายามใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ เพื่อให้ผลผลิตอาหารมีเพิ่มมากขึ้นเพียงพอต่อจำนวนประชากรโลก และพืชพันธุ์เองให้มีความแข็งแรงทนต่อสภาพอากาศโลกที่เปลี่ยนไป นำไปสู่การเกิดขึ้นของ “การปฏิวัติเขียว” ในต้นศตวรรษที่ 19

การปฏิวัติเขียว คือนโยบายการเปลี่ยนแปลงการทำการเกษตรแบบเดิมเป็นการเกษตรแบบใหม่ โดยวิจัยค้นคว้าและปรับปรุงพัฒนาพันธุ์พืชและสัตว์ ให้มีผลผลิตสูงขึ้น สารอาหารครบถ้วน และสามารถทนต่อสภาพอากาศอันแปรปรวนได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้เกิดเครื่องจักรกลทางการเกษตรหลายชนิด ซึ่งช่วยทุนแรงและผลิตอาหารได้ปริมาณมาก รวดเร็ว และใช้แรงงานน้อย

เทคโนโลยีทางอาหารรูปแบบหนึ่งที่มีการพูดถึงกันมากในปัจจุบันก็คือ พืช GMOs ซึ่งเป็นเทคโนโลยีตัดแต่งพันธุกรรมพืช เพื่อที่จะให้พืชชนิดนั้นมีคุณลักษณะหรือคุณสมบัติที่จำเพาะเจาะจงตรงตามความต้องการ เช่นมีพันธุ์ที่ทนต่อสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย มีความต้านทานแมลงศัตรูพืชได้ หรือมีสารอาหารทางชีวภาพที่เพิ่มขึ้นจากปกติ ทำให้ผลผลิตเน่าเสียช้าลง ต้านทานไวรัส พืชที่นิยมนำมาทำ GMOs ได้แก่ที่ได้มีการวางจำหน่ายแล้วตามท้องตลาดในปัจจุบัน ได้แก่ ข้าวโพด, มะเขือเทศ, ถั่วเหลือง, ฝ้าย, มันฝรั่ง, มะละกอ, สควอช (Squash) และ คาโนลา(พืชที่ให้น้ำมัน) ซึ่งพืชเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความพยายามของมนุษย์ที่จะคิดค้นเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้การผลิตอาหารให้ดีมากยิ่งขึ้น

ภาพ : inmarsat.com

 

อาหารจึงไม่ได้สำคัญแค่ทำให้มนุษย์อิ่มท้อง แต่ยังส่งอิทธิพลให้เกิดจุดเปลี่ยนสำคัญในสังคมมนุษย์มาตั้งแต่แรกเริ่ม เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน การเดินทางอันยาวนานของอาหารก่อนจะถูกเสิร์ฟลงจานจึงมีเรื่องราวน่าสนใจมากมาย อาหารก่อให้เกิดวิวัฒนาการ เกิดศิลปวัฒนธรรม สงคราม หรือแม้แต่กระตุ้นให้มนุษย์พัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง และเราคงมีชีวิตอยู่ไม่ได้หากปราศกิจกรรมง่าย ๆ สามัญอย่างการกิน

เมื่อกินอาหารมื้อต่อไป ลองพินิจเล่น ๆ ดูก็ได้ว่าในจานอาหารของคุณ วัตถุดิบเหล่านั้นเดินทางมาจากที่ใด ?

 

เครดิต : อินทราวุธ

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest
0 Comments
Oldest
Newest Most Voted
Inline Feedbacks
View all comments

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button
0
Would love your thoughts, please comment.x
()
x